ระบบ 3G
คืออะไร
1. ระบบ 3G
คืออะไร
คำตอบ เราคงเคยได้ยินคำว่า
3G
มากันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่หลายคนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าระบบ 3G
ที่ได้ยินกันบ่อยๆนั้น คือ ระบบอะไร ดังนั้น
ก่อนที่เราจะกล่าวถึงปัญหาของระบบ 3G ในประเทศไทย
เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า ระบบ 3G หมายความว่าอย่างไร
กล่าวคือ ระบบ 3G คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่สาม (Third
Generation of Mobile Telephone – 3G) ซึ่งมี
สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunication
Union) ซึ่งเป็นองค์กรชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ
ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำตลอดจนวางหลักเกณฑ์ในบริหาร และการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้กับประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกทั่วโลก
โดยมีแนวทางในการวางหลักเกณฑ์ทางการบริหารทรัพยากรด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศสมาชิก
เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน
ทั้งนี้ 3G
เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากจากยุคที่ 2 และ 2.5
ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น
ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่มากในด้านความรวดเร็วและคุณภาพของข้อมูลที่ทำการส่ง
โดยการพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการแบบมัลติมีเดีย
และส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า
ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลตลอดจนแอพพลิเคชั่นต่างๆดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น
พร้อมทั้งสามารถใช้บริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
โดยผ่านอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น
PDA โทรศัพท์มือถือ และ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
2. ระบบ 1G
2G 3G คืออะไร คำตอบ Gย่อมาจากGeneration 1G-ระบบAnalog
2G-ระบบDigital
3G-ระบบWireless
1G
เริ่มตั้งแต่ 1G … ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ Analog
คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง
โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้นซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน
Voice ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น
ไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น
แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G แต่จริงๆแล้ว … ในยุคนั้น
ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว โดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก
และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่
2G
หลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาต่อมาเป็นยุค 2G … ซึ่งเปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ
Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น
Microwave ซึ่งในยุคนี้เอง
เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้
นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว ในยุค 2G
นี้ … เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site
และก่อให้เกิดระบบ
GSM
(Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก
หรือที่เรียกว่า Roaming ยุค 2G นี้
ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย … ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลง
(กว่ายุค 1G) ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น
ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค 2G นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต Download
Ringtone , Wallpaper , Graphic ต่างๆ แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ Downlaod
Ringtone แบบ Monotone และ ภาพ Graphic
ต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น
2.5G
หลังจากนั้น ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G
… ซึ่งก็คือ 2.5G ซึ่ง 2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio
Service) นั่นเอง ซึ่งตามหลักการแล้ว … เทคโนโลยี
GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115
Kbps เลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น
2.75G
เพิ่มนิดนึง … ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วย
ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for
Global Evolution) นั่นเอง EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ
GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ
GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้น **แต่ว่า
ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น
ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ
เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ
3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอ่ะ**
3G
ต่อมา … ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่
3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น … เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล
โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง
ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ
รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การรับ-ส่ง File
ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call
Conference , Download เพลง , ดู TV
Streaming ต่างๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว … 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลย
คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ
อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always
On … คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย 3. 3G กับ 3.9G
แตกต่างกันตรงไหน ตอนนี้ในไทยมี3G แท้ กับ 3G
เทียมครับ 3G แท้ คือ เครือข่ายที่ให้สัญญาณ
สามจี จริงๆ เช่น i-mobile 3GX หรือ TOT
3G บนคลื่นความถี่ WCDMA หรือ UMTS 2100 MHz และ
ยังมีระบบ CAT CDMA บนเทคโนโลยี CDMA2000
1x EV-DO
3G
เทียม ก็คือ การแปลงสัญญาณ GSM ให้เป็น 3G
อย่างที่ AIS / True / Dtac กำลังทดลองให้บริการกันอยู่
AIS ก็วิ่งบนคลื่น 900 MHzอยู่ครับ Dtac
กับ truemove 850MHz ถ้าใบอนุญาตออกจะวิ่งที่
2100 MHz
http://lovelovelover77.wordpress.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น